สิ่งที่ตลาดหุ้นต้องชดใช้ “การยืมอนาคตมาซื้อราคา”

หากใครเคยดูหนังรักสุดคลาสสิคอย่าง About Time ก็คงจะรู้ดีว่าแม้เราจะพยายามย้อนเวลาเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในอนาคตมากสักเท่าใด สุดท้ายผลลัพธ์ในอนาคตก็ยังเป็นเช่นเดิม เพราะฉะนั้น ความจริงก็คือความจริงไม่มีวันหลุดพ้น และไม่ว่าเราจะพยายามบิดเบือนความเป็นจริงมากสักเพียงใดสุดท้ายเราก็ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ของมันอยู่ดี หรือความจริงที่ว่าจะเหมือนกับตลาดหุ้นในตอนนี้กันแน่ ที่กำลังพยายามหลีกหนีความเป็นจริง?
เรากำลังมองหาปัจจุบันมากกว่าอนาคต
อันดับแรกเลย ผมอยากให้ทุกคนดูภาพข้างต้นและทำความเข้าใจตามกันไปนะครับ
ภาพข้างต้นเป็นการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของ “อัตราดอกเบี้ย”
กับ “ผลตอบแทนในอนาคต” ซึ่งคล้าย
ๆ กับเวลาเราเล่น “ม้ากระดก” ในตอนเราเด็ก
ๆ นั่นเอง
หรือจะว่าง่าย ๆ เวลาที่มีการลดดอกเบี้ยเมื่อไรผลตอบแทนในอนาคตของหุ้นก็จะลดลง แต่ในขณะเดียวกันเราจะได้เห็นผลอย่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นแบบทันตาเห็น จากการที่เรายืมผลตอบแทนในอนาคตมาใช้นั่นเอง หรือคล้าย ๆ กับการที่เรายืมผลตอบแทนในอนาคตของสิ่งนั้น ๆ มาใช้ สอดคล้องกับภาวะในตอนนี้ที่ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤติจนลงมาอยู่ในระดับที่ตำ่มาก ๆ ที่ 0.00%-0.25% ในสหรัฐฯ
ที่ฟังดูแย่ไปกว่านั้นก็คือ
ตลาดหุ้นอาจจะอยู่ในภาวะเก็งกำไรจากการที่ดอกเบี้ยตำ่มาก ๆ ก็เป็นได้ เพราะ
การที่ดอกเบี้ยตำ่นั้น การฝากเงินหรือการลงทุนในพันธบัตรก็อาจจะไม่สมเหตุสมผล
จึงอาจทำให้ผู้คนแห่กันย้ายเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่ยังให้ผลตอบแทนได้อยู่
ซึ่งก็คือสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ เช่น หุ้น
จุดจบของความสัมพันธ์ที่ว่าจะเป็นเช่นไร?
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ความสัมพันธ์ย่อมมีวันจบลง
ความสัมพันธ์ที่ว่านั้นจะจบลงได้ก็เมื่อสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ
ที่ผู้คนต่างกันพาหนีตายจากวลี “เงินสด = ขยะ” ในตอนนี้
ลดลงมาตำ่มาก ๆ ไม่ต่างกับการถือเงินสดเอาไว้เฉย ๆ
รวมถึงในวันที่ผู้คนต้องการนำเงินที่เข้าไปลงทุนออกมาจากหุ้นเพื่อจ่ายหนี้สินต่าง
ๆ ของตนเอง จนเกิดการเทขายในที่สุด
และในตอนนี้ความสัมพันธ์ที่ว่าก็ดูเหมือนจะเริ่มหมดทางไป
เมื่อฝั่งซ้ายของม้ากระดกอย่าง “อัตราดอกเบี้ย” อยู่ในระดับที่แทบจะไม่เหลือนํ้าหนักให้ถ่วงอีกต่อไป
(0.00%-0.25%) ซึ่งทางเลือกต่อไปก็คือ
ต้องกดนํ้าหนักให้จมดินอย่างการใช้ดอกเบี้ยติดลบ
ซึ่งเป็นนโยบายที่หากตัดสินใจผิดพลาด เศรษฐกิจอาจอยู่ในภาวะอิ่มตัว
หลังธุรกิจรากฐานของทุนนิยมอย่างธนาคาร อาจไม่สามารถทำกำไรจากการปล่อยกู้เงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้เช่นเคย
(อาจไม่นำเงินไปปล่อยกู้ เพราะ
ได้ผลตอบแทนน้อยและเลือกไปทำอย่างอื่นแทนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า
ทำให้เงินไม่ได้ไหลเข้าไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ)
ดังนั้น ภาพสรุปโดยรวมในอนาคตอาจจะเป็นว่าปริมาณหนี้ที่เพิ่มขึ้นเข้าไปในระบบตอนนี้อาจจะกลับมาเล่นงานพวกเราทุกคนเอง ตอนที่เศรษฐกิจกลับมาฝืดเคืองอีกครั้งหนึ่ง รายได้ของผู้คนเริ่มลดลงจ่ายหนี้ไม่ได้ และถอนทุนจากตลาดหุ้นเพื่อจ่ายหนี้ในที่สุด.. และนี่ก็คือสิ่งที่ตลาดหุ้นต้องชดใช้จากการยืมอนาคตมาต่อเวลา ณ ปัจจุบัน
หรือหุ้นเทคไม่จำเป็นต้องยืมอนาคต?
หุ้นเทคนั้นจะถือได้ว่าเป็นหุ้นที่มองอนาคตออกไปไกลมาก
ๆ ก็ว่าได้ จากการที่การเติบโตของมันอยู่ในระดับที่สูง
ทุกคนคงได้เห็นภาพกันแล้วว่าหุ้นเทคนั้นมีกำไรเติบโตได้อย่างเหลือเชื่อ ท่ามกลางวิกฤติและเหมือนจะปฏิเสธไปในตัวว่า หุ้นกลุ่มเหล่านั้นไม่ใช่หุ้นกลุ่มวัฎจักรที่คุณภาพขึ้นๆ ลงๆ ตามภาวะเศรษฐกิจ
(Bond yield + Equity Premium – Growth) หรือ (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล + ผลตอบแทนเพิ่มเติมชดเชยความเสี่ยงลงทุนในหุ้น – การเติบโต)
และหากเราคิดมูลค่าผลตอบแทนของหุ้นโดยสูตรข้างต้นจากข้อมูลดังนี้…
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ 0.69%
ผลตอบแทนเพิ่มเติมชดเชยความเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่ 3.81% การเติบโต 25.81% (เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเป็น Amazon
ซึ่งหากเราย้อนกลับไปมองการคิดมูลค่าที่ได้บอกมาก่อนหน้านั้น
เราก็จะเห็นได้ว่าการเติบโต (Growth) ของหุ้นเทคอย่าง Amazon สามารถเอาชนะผลตอบแทนของหุ้นแบบปกติ
(Earning yield) สิ่ง ๆ นี้มันหมายความว่าอะไร? ถ้าหากเราลองเอาอัตราการเติบโตของหุ้นเทคที่ว่าลบกับผลตอบแทนหุ้น
หุ้นเทคนั้นจะให้ผลตอบแทนได้แบบ INFINITY หรือว่าไม่มีวันสิ้นสุด!!
หรืออีกจุดสิ้นสุดหนึ่งก็คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งสูงขึ้นอย่างเหลือเชื่อจนเอาชนะผลตอบแทนของหุ้น ซึ่งผมมองว่ามีความเป็นไปได้สูงครับ จากผลตอบแทนพันธบัตรในตอนนี้ที่ตำ่มาก ๆ แต่ก็ยังอาจไม่ใช่ในเร็ววันนี้
ยักษ์ใหญ่ก็ล้มเป็นหรือในอนาคตหุ้นเทคจะเป็นดอทคอม (.com) หรือนิฟตี้ฟิฟตี้ (Nifty Fifty)
หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับวิกฤติดอทคอมที่หุ้นเทคบางตัว
เปิดตัวได้ไม่นานราคาก็พุ่งพรวดอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่อาจจะไม่ค่อยคุ้นกับ “Nifty
Fifty” สักเท่าไรนัก
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้เห็น IBM,
Xerox หรือ Eastman Kodak กลับมาเฉิดฉายอีกต่อไป
และเรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลืออะไรเลยอีกต่อไป
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเทคระยะยาวมาก ๆ
นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำจริง ๆ หรือ? เราคงไม่ได้คำตอบในเร็ววันนี้
ในวันที่หุ้นเทคเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและโดดเด่น
แต่ตลาดหุ้นมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ จุดจบจะเป็นอย่างไรในอนาคต Mr.
Market คงจะเฉลยให้เราเห็นเอง…
ขอให้ทุกคนโชคดีครับ
Mr. Serotonin
แผนการเงินที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งชี้วัดภายในของหลายๆ คน หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีเป้าหมายนี้ ก็สร้างแผนลงทุนในกองทุนรวมได้ง่ายๆผ่าน https://finno.me/moneyandbanking