2 หุ้น IPO น้องใหม่ ASW-JR ยื่นไฟลิ่งเตรียมเทรดใน SET

ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2563
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่
1,342.85 จุด เพิ่มขึ้น 3.2% จากเดือนก่อน มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET
และ maiอยู่ที่ 65,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
จากค่าเฉลี่ยทั้งปี 2562 ด้านผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิ 31,580
ล้านบาท ในตลาดหลักทรัพย์ไทย
ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนและเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดในเอเชีย
ในเดือนพฤษภาคม 2563
ตลาดหลักทรัพย์ไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนสอดคล้องกับทิศทางของตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย
ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่ดีขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายกิจกรรมและกิจการต่างๆ
ตลอดจนการปรับเพิ่มจำนวนหุ้นไทยในดัชนี MSCI อย่างไรก็ตาม
แนะติดตามประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนซึ่งอาจขยายขอบเขตไปเป็นสงครามการค้ารอบที่
2 ท่ามกลางความพยายามในการฟื้นเศรษฐกิจโลกภายหลัง COVID-19
ASW : บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด
(มหาชน)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)หรือ ASW ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน
27.07% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO
โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ASW ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อยทั้งหมด 15 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 12 บริษัท และบริษัทย่อยอีก 3 บริษัท ประกอบธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย เช่น ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า, ธุรกิจรับฝากขายฝากเช่าอสังหาริมทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 กลุ่มบริษัทมีโครงการทั้งหมด 30 โครงการ ประกอบด้วย
(1) โครงการที่พัฒนาเสร็จและปิดโครงการแล้ว จำนวน 5 โครงการ
(2) โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 16 โครงการ
(3) โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและก่อสร้าง จำนวน 8 โครงการ และ
(4)
โครงการที่อยู่ระหว่างการขายและรอการพัฒนา จำนวน 1 โครงการ
กลุ่มบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวสูงและแนวราบ
ภายใต้ชื่อโครงการหลัก เช่น Atmoz, Modiz, Kave, Glam นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีโครงการภายใต้ชื่อโครงการอื่นๆ เช่น Wynn,
Brownและ Ivory เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินในปี 2560-2562
บริษัทมีรายได้รวม 853.72ล้านบาท 4,358.70 ล้านบาท และ 2,632.54 ล้านบาท
ตามลำดับโดยรายได้รวมในปี 2562 ลดลง
มีสาเหตุหลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศในปี
2562 ได้รับผลกระทบจากความเข้มงวดของมาตรการ LTV ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจในขณะที่งวด
3 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 593.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี
2562 ที่มีรายได้รวม 487.18 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 2560 บริษัทขาดทุนสุทธิ 33.95 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายคงที่ส่วนหนึ่งไม่ได้แปรผันตามรายได้จากการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์และการเปิดขายโครงการสำหรับโครงการที่จะโอนในอนาคต เงินเดือนและค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์ เป็นต้น
ในขณะที่ปี 2561-2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 556.60 ล้านบาท และ 297.07 ล้านบาทตามลำดับ โดยยอดกำไรสุทธิที่ลดลง มีสาเหตุหลักมาจากจำนวนยอดโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าลดลง ประกอบกับมีต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงขึ้นตามการขยายตัวทางธุรกิจ และสำหรับงวด 3 เดือนแรกของปี 2562-2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 19.80 ล้านบาท และ 69.30 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่สูงขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน
761ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 761 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
โดยเป็นทุนชำระแล้ว 555 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 206 ล้านหุ้น คิดเป็น27.07%
ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
วัตถุประสงค์หลักในการระดมทุนครั้งนี้
เพื่อเตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้สำหรับพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ โครงการ Modizรามคำแหง, Modiz Launch, Baan PuriPuriลาดพร้าว 41
(โฮมออฟฟิศ), Baan PuriPuriพัฒนาการ (ทาวน์โฮม), และโครงการ Mingleพร้อมทั้งชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน
และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
JR : บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้ จำกัด (มหาชน)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
บริษัท เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู. ยูทิลิตี้
จำกัด (มหาชน) หรือ JR ผู้ให้บริการออกแบบ
จัดหา ก่อสร้างและติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม
และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจรยื่นFilingต่อ ก.ล.ต.
เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 100ล้านหุ้น
คิดเป็น26.32% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัท
ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส
จำกัด (มหาชน)เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
JR จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2
พฤศจิกายน 2536 โดย นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ
เพื่อประกอบที่เกี่ยวข้องกับระบบสื่อสารโทรคมนาคม
และเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทออกแบบ จัดหา รับเหมาติดตั้ง ทดสอบ
และให้คำปรึกษาในการวางระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร
ในปี 2557
บริษัทเริ่มธุรกิจรับเหมาวางระบบไฟฟ้า
โดยเริ่มให้บริการรับเหมาติดตั้งอุปกรณ์สำหรับสถานีไฟฟ้าย่อยพร้อมระบบให้กับโครงการศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค
รังสิต หลังจากนั้น บริษัทได้รับงานโครงการรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งงานสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย
โดยโครงการแรก คือโครงการสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยขนาด 115kV
ในนิคมอุตสาหกรรม ไฮเทค บางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และมีรับก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อเชื่อมต่อสายไฟฟ้าไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT)
และลูกค้า Industrial Users (IU) อีกมากมายหลายโครงการ
นอกจากนี้ จากธุรกิจที่ครอบคลุม
ส่งผลให้บริษัทได้รับงานอย่างต่อเนื่องภายใต้แผนงานของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจากแผนแม่บทโครงการเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน
ปี 2551-2565รวมทั้งแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน
เพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน
ในปี 2560-2562 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 967.60 ล้านบาท 934.17 ล้านบาทและ 848.90 ล้านบาท ตามลำดับรายได้หลักประกอบไปด้วยรายได้จากการให้บริการและรายได้จากการขาย โดยบริษัทมีรายได้จากการให้บริการรวมทั้งสิ้น 597.75 ล้านบาท 825.23 ล้านบาท และ 540.92 ล้านบาทตามลำดับและบริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 349.32 ล้านบาท 98.24 ล้านบาท และ 305.47 ล้านบาท ตามลำดับ
และในปี 2560-2562
บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 41.25 ล้านบาท จำนวน 82.93 ล้านบาท และจำนวน 60.75
ล้านบาทตามลำดับ โดยในปี 2561 รายได้ของบริษัทลดลง 3.45% จากปี 2560
แต่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 11.95% เป็น 17.99%
ในขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้จากการขายและบริการ
และค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมค่อนข้างคงที่
ส่งผลทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
สำหรับปี 2562 บริษัทมีรายได้ลดลง 9.13% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย เป็น 17.49% รวมทั้งอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้จากการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวม เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 8.88% เป็น 7.16% ณ วันที่ 1 เมษายน 2563 บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 380 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 280 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 380 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 380 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
แบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชนจำนวน 92ล้านหุ้น คิดเป็น24.21%
ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทและเสนอขายต่อกรรมการ
ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทจำนวน 8ล้านหุ้น คิดเป็น2.11%
ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน