ลงทุนครึ่งปีหลัง แนะเพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงเข้าพอร์ต

ผู้จัดการกองทุนชี้ครึ่งปีหลังสินทรัพย์เสี่ยงมี 3 ปัจจัยหนุนเปิดโผตลาดหุ้นโลก 4 กลุ่มอุตสาหกรรมยังฮอต ลงทุนตราสารหนี้แนะเพิ่ม High Yield บอนด์ เชื่อตลาดหุ้นพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ความเสี่ยงที่ต้องจับตานโยบายการค้าสหรัฐฯ-จีน
นางนันท์มนัส
เปี่ยมทิพย์มนัสรองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า
ภาพรวมการลงทุนในครึ่งหลังปี 2563 บลจ.ไทยพาณิชย์
มองว่า มีหลายปัจจัยที่คาดว่ายังคงสนับสนุนการลงทุนในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
- ประการแรก กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาสที่ 2
จากการทยอยกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
- ประการที่สอง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัว
และแนวโน้มการปรับเป้าผลประกอบการจดทะเบียนจากนักวิเคราะห์จะกลับมามีมุมมองเชิงบวกอีกครั้ง
สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากขึ้นและ
- ประการที่สาม ความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มลดลง
จากนโยบายของธนาคารกลางโลกที่คาดว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ตลาดแรงงานด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องและการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง
เปิดโผตลาดหุ้นโลก 4
กลุ่มยังฮอต
นางนันท์มนัสกล่าวว่าตลาดหุ้นโลกโดยภาพรวมยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวและมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คาดว่าการเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มผลประกอบการขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวมและเพิ่งเริ่มเข้าสู่วัฏจักรการขยายตัว
โดยจะช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนจากผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19
ตัวอย่างเช่น Global Technology, Global
Digital Communication,Robotics & Automation และ Global Healthcareเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงผ่านระบบออนไลน์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับการมาของ 5G ในปีนี้จะเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ตกว่า 10
เท่าและรองรับการส่งข้อมูลในปริมาณที่สูงขึ้นมาก
ซึ่งจะเป็นตัวปลดล็อกเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น IoT, AR, VR ทำให้กลุ่มเทคโนโลยีมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
ทั้งนี้ การระบาดของไวรัสโควิด-19
คาดว่าจะเป็นปัจจัยเร่งให้ภาคการผลิตมีการลงทุนด้านเครื่องจักรกลแทนคนมากขึ้น
โดยกลุ่ม Healthcare คาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัดจากมาตรการล็อกดาวน์
และได้รับประโยชน์จากความคาดหวังต่อการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19เป็นต้น
ลงทุนตราสารหนี้แนะเพิ่ม High Yield
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน
บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ การเพิ่มการลงทุนในตราสารหนี้ High
Yield ระยะสั้นของประเทศสหรัฐฯ มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนชั้นดี
(Investment Grade) เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนชั้นดีปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของการลงทุนใน High
Yield ในปัจจุบันที่นักลงทุนได้รับยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลกว่า
6.7% ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนล็อกดาวน์
จากแนวโน้มเศรษฐกิจทยอยกลับสู่ภาวะปกติและนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ
ที่ช่วยสภาพคล่องให้แก่บริษัทขนาดเล็ก
คาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ได้
ความเสี่ยง : นโยบายการค้าสหรัฐฯ-จีน
สำหรับความเสี่ยงที่ยังคงต้องจับตาได้แก่
นโยบายการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจีนยังไม่สามารถนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ได้ตามเป้าที่ได้ตกลงกันไว้
ซึ่งสหรัฐฯ อาจใช้เป็นข้ออ้างในการกลับมาขึ้นภาษีการค้ากับจีนอีกครั้ง
นอกจากนี้เมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในเดือนพฤศจิกายน หาก โจ ไบเดน (Joe Biden) ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ตลาดอาจกลับมากังวลต่อนโยบายภาษีนิติบุคคลที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ส่งผลให้ตลาดหุ้นอาจกลับมาผันผวนได้เป็นระยะ
“คาดว่าตลาดหุ้นไม่น่าจะกลับไปทำจุดต่ำสุดใหม่
เนื่องจากนโยบายรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกในภาพรวมจะยังมีความผ่อนคลายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ”นางนันท์มนัส
กล่าว
จัดพอร์ตสไตล์บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ดฯ
นายออเสน การบริสุทธิ์
หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า
แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังนี้ และปี 2564ปัจจัยสำคัญอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสนับสนุน เช่นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
รวมถึงเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว
(SSF) และกองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ (SSFX)
ที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2
ที่ผ่านมา แม้กระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ค่อนข้างผันผวน
ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย แม้ว่าปี 2563 กำไรบางบริษัท โดยเฉพาะในเดือนเมษายน
น่าจะตกต่ำอย่างมาก แต่ยังคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้
"เรายังคงกลยุทธ์การลงทุนด้วยการเลือกหุ้นรายตัวที่สามารถสร้างโอกาสในทุกสถานการณ์ และยังคงเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกัน ยานยนต์ และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ พลังงาน ปิโตรเคมี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริทรัพย์ (รีท) กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม" นายออเสน กล่าว
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้
(ประเทศไทย) บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้
กองทุนภายใต้การบริหารของอเบอร์ดีน สแตนดาร์ดฯ ยังคงลงทุนต่อเนื่อง
นอกจากนี้
ไม่ควรลดสัดส่วนการลงทุนและลดอายุตราสารหนี้ที่ลงทุน
เนื่องจากทิศทางเศรษฐกิจโลกมีโอกาสฟื้นตัวได้สูงแม้มีความไม่แน่นอนอยู่
โดยบริษัทเน้นกลยุทธ์เลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก
ส่วนหุ้นกู้เอกชนจะเลือกลงทุนเป็นรายตัว
เพราะตลาดหุ้นกู้เอกชนยังกังวลค่อนข้างมากเรื่องสภาพคล่อง